green and brown plant on water

สังโยชน์ 10

เวลาอ่าน : 5 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2565

เรื่อง สังโยชน์ 10

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

สวัสดีนะครับทุกคน  เข้ามาแล้วก็เริ่มกำหนดจิต ใจสงบร่มเย็น อยู่กับลมหายใจสบายๆ จิตกำหนดเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม เป็นประกายระยิบระยับ พริ้วผ่านเข้าออกในกายของเรา กำหนดลมหายใจเป็นปราณ  กลั่นปราณ กลั่นพลังชีวิตเป็นประกายพรึก เป็นแพรวไหมพริ้วผ่านเข้าออกร่างกายขันธ์ 5 นี้ การปฏิบัติพระกรรมฐาน สามารถควบกอง คำว่าควบกองก็คือ สามารถผนวกการปฏิบัติในกรรมฐานหลายๆ กองไว้เป็นหนึ่งได้   ไม่เพียงแต่การควบ 2 กอง อย่างการกำหนดในลมหายใจ  อย่างที่ได้แนะนำก็เป็นประโยชน์ เป็นการฝึกกรรมฐาน พร้อมกับเกิดผลทางด้านสุขภาพร่างกายไปพร้อมกัน กำหนดรู้ลมหายใจ กำหนดลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม ดึงปราณเข้ามาฟอกร่างกายธาตุขันธ์  ก็เป็นการฝึกสติรู้ในลมหายใจเป็นอานาปานสติ 

การกำหนดจิต กำหนดพลังปราณ ซึมซาบเข้ามาก็เป็นการหายใจแบบปราณ มีประโยชน์ในการช่วยเยียวยารักษาร่างกายธาตุขันธ์ของเรา การกำหนดเห็นลมหายใจ กำหนดเห็นในจิต เห็นลมหายใจเป็นแพรวไหม  ระยิบระยับ    นั่นก็คือเห็นลมหายใจเป็นกสิณลม เห็นลมที่พริ้วผ่านเป็นปฏิภาคนิมิต ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอุบาย  ให้การฝึกในการจับลมหายใจเช่นนี้  มีผล มีอานิสงส์ เกิดความสงบได้เร็ว เกิดผลทั้งทางกาย ทั้งทางสมาธิ ทางจิตไปพร้อมกัน   กำหนดรู้อยู่ในลมหายใจ สบายผ่องใส ลมหายใจเป็นประกายพรึก  ระยิบระยับพริ้วผ่าน จนลมหายใจนั้นค่อย ๆ ละเอียดเข้าสู่ความสงบ ลมหายใจละเอียดลง เบาลง จิตสงบลง จนเข้าถึงเอกัคตารมณ์  จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง นิ่งหยุดอยู่กับความสงบ           ทรงอารมณ์ความผ่องใส ให้ภายในจิตของเรามีอารมณ์แย้มยิ้มอิ่มอยู่ภายใน สุขของสมาธิปรากฏ  สุขของความสงบจากสมาธิปรากฏในจิต นิ่งสงบ ผ่องใส

เมื่อร่วมจิตให้สงบนิ่งเป็นฌานมีกำลัง ฌาน 4 ปรากฏขึ้น ความสงบเอกอัคตารมณ์ปรากฏขึ้น  อุเบกขารมณ์ปรากฏขึ้น จิตเราก้าวขึ้นสู่สมถะที่สูงขึ้นไปอีก กำหนดเห็นในความหยุด ในความนิ่งของใจที่สงบนั้น ปรากฏเป็นภาพนิมิตเป็นดวงกสิณจิต  เป็นเพชรประกายพรึกสว่างระยิบระยับ กำหนดน้อมนึกเห็นจิตของเรา เป็นเพชรสว่างระยิบระยับทรงจิตให้มีความผ่องใสเบิกบาน เข้าถึงกำลังสูงสุด ภาพนิมิตชัดเจน แสงสว่างยิ่งสว่างเท่าไหร่ มีรัศมี มีประกายความเป็นทิพย์มากเท่าไหร่ อารมณ์จิตมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ภาพนิมิตสัมพันธ์กับอารมณ์ใจของเรา จึงเข้าถึงสภาวะอารมณ์พระกรรมฐานอย่างแท้จริง

กำหนดให้จิตเป็นเพชรสว่างเต็มกำลัง จิตมีอารมณ์เอิบอิ่มเป็นสุขสว่างเต็มกำลัง พิจารณาโดยละเอียดกำหนดในแสงสว่าง รัศมีโดยรอบของจิตนั้น มีกระแสรัศมีกายความสว่าง และเลยจากรัศมีกายออกไป ปรากฎสภาพแวดล้อมภายนอก อาณาบริเวณภายนอกตามรัศมี เลยขอบของรัศมีของจิต มีสภาวะเป็นกากเพชรโปรยปราย พรางพรายระยิบระยับ  คือสภาวะความเป็นทิพย์  กระจายครอบคลุมอยู่ภายนอกอีกชั้นหนึ่ง จากเส้นรัศมีของจิต 

กำหนดรู้ กำหนดดู กำหนดใช้รัศมีแห่งจิต  รัศมีแห่งกายทิพย์ของเรา  กำหนดให้เห็นว่าอนุภาคในความเป็นทิพย์ ที่ครอบคลุมเป็นรัศมีคือทรงกลม มีอาณาบริเวณแผ่ออกไปจากจิตของเรา กำลังแห่งรัศมีจิต เกิดปฏิกริยากับสภาวะภายนอก เกิดเป็นพลังงาน เกิดเป็นประจุอิออน สลายล้างเชื้อโรค โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย กระแสรัศมีแห่งจิตของเราสว่าง ครอบคลุม  ปกป้องป้องกันเราจะภัยอันตรายทั้งปวง   รังสีทั้งหลาย    ภัยพิบัติทั้งหลายกัน  กำหนดจิต กำหนดซึมซับรับความรู้สึก รู้สึกได้ถึงรัศมีแห่งจิตที่ครอบคลุมเปี่ยมพลัง รู้สึกได้ถึงรัศมี กระแสพลังงาน  สภาวะความเป็นทิพย์ที่คลุมซ้อนภายนอกอีกชั้นหนึ่ง

กำหนดจิต กำหนดรู้ กำหนดใช้ความเป็นทิพย์ รัศมีแห่งจิตนี้ ปกป้องเราจากอวิชาคุณไสยทั้งปวง  ปกป้องเราจากกระแสลมเพลมพัดทั้งปวง ปกป้องเราจากอกุศล กระแสแห่งอกุศลทั้งปวง  กำหนดภายในรัศมีของจิตที่เรากำหนดในจิตอันเป็นปฎิภาคนิมิต จิตอันเป็นกสิณจิต มีกระแสพลังงานบริสุทธิ์ ความผ่องใส กระแสแห่งกุศลจิต   กุศลแห่งเมตตาจิต กุศลแห่งความดีที่เราสร้างสะสมเป็นกำลังบุญกำลังบารมี ปรากฏคุ้มครองป้องกันเรา จนเราสามารถรู้สึกสัมผัสได้ รัศมีแห่งจิตซึมซาบสว่าง ฟอกชำระล้างขันธ์ 5 ร่างกาย อวัยวะทุกส่วน  เซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างกาย  กระแสจิตอันเป็นปฏิภาคนิมิต แผ่ปรากฏฟอกเซลล์ทุกเซลล์  ให้ปรับอานุภาพเป็นเพชร  เป็นประกายระยิบระยับ  สว่าง

กำหนดน้อมจิตสว่าง จิตเราผ่องใส อารมณ์เราผ่องใส กาย วาจา ใจของเราผ่องใสเป็นกุศล ทำเหตุคือกำลังจิตของเราให้ปรากฏกำลังตบะเดชะ ในการเจริญฌาน เจริญสมาบัติให้ปรากฏ เมื่อเหตุกำลังต้นที่เราทำไว้ดีแล้ว  เราจึงน้อมอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า กำลังแห่งพุทธคุณ เราทำได้เต็มกำลัง 100 หน่วย  พระท่านก็สามารถสงเคราะห์เราได้เต็มที่ 100 หน่วยเช่นกัน จิตเราผ่องใส จิตเราสะอาด จิตเรามีกำลังมากเท่าไหร่ พระท่านก็ยิ่งสงเคราะห์เราได้มากเท่านั้นต้นทุนบารมี ต้นทุนความดี ต้นทุนทาน ศีล ภาวนา สมาบัติ  เราเจริญไว้ดีแล้วฉันใด  ไม่ว่าจะเป็นพระ  คือพระพุทธเจ้า พระที่เป็นครูบาอาจารย์  ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ พระอริยเจ้า พระโพธิสัตว์  หรือแม้แต่เทวดาพรหมทั้งหลาย  ก็สามารถสงเคราะห์เกื้อกูลเราได้เต็มกำลังเพียงนั้น

กำหนดจิตว่าเมื่อเราเจริญพระกรรมฐานเต็มกำลัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็เมตตาสงเคราะห์เราได้เต็มกำลังด้วยเช่นกัน กำหนดจิตให้กลางดวงกสิณจิตนั้น ปรากฏองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สว่างเป็นเพชรชัดเจนแจ่มใส  ละเอียดอย่างยิ่ง ขึ้นมากลางดวงแก้วในจิต ในอกของเรานั้น องค์พระขยายเลยดวงจิต เป็นองค์พระครอบกายเนื้อของเราทั้งหมด ครอบดวงจิตของเราทั้งหมด เห็นกายของเรานั้นอยู่ภายในองค์พระพุทธเจ้า ภายในองค์กลางดวงจิตขององค์พระ จิตเราอยู่ภายในกลางดวงจิตขององค์พระ กำหนดทรงอารมณ์ใจให้ผ่องใส พิจารณาตัดกิเลส กายสลายไปจนหมดเหลือแต่เพียงดวงจิตอาทิสมานกายของเราอยู่ภายในดวงจิต ภายในดวงแก้ว ภายในองค์พระพุทธเจ้า

กำหนดพิจารณา  พิจารณาตัดสังโยชน์ทั้ง 10 สักกายทิฐิ เราสลายกาย ปล่อยวางความเป็นร่างกายเนื้อขันธ์ 5 ไปจนหมด จิตเรามีปัญญารู้ว่าเราต้องตาย  ตายเมื่อไรเราตั้งจิตปรารถนาในพระนิพพาน  พิจารณาต่อไป      ความลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัยไม่มีในเรา ความลังเลสงสัยว่าเราปฏิบัติธรรมแล้ว จะไปนิพพานชาตินี้ได้หรือไม่ได้ไม่มีในจิตเรา จิตเรามีความตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวว่า ชาตินี้มีพระนิพพานเป็นที่สุดอย่างมั่นคง 

พิจารณาต่อไป ศีล ในขณะที่เราปฏิบัตินี้ ศีลของเรามีความบริสุทธิ์ ควบด้วยกำลังแห่งเมตตาอัปมาณฌาน พรหมวิหาร 4 เราครบถ้วน  จิตเราน้อมอยู่ในกุศล อยู่ในความดี จิตเราปราศจากมลทินเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง พิจารณาต่อไป   ตัดพยาบาท   พิจารณาว่าเมื่อจิตของเรา  ดำรงทรงไว้ในเมตตาฌานเป็นปกติ   เราหมั่นขอขมากรรม        ขออโหสิกรรมเป็นปกติ  จิตของเราตัดบรรเทาความพยาบาท  การจองเวร   อันเป็นเหตุ  อันเป็นเครื่องผูกเราไว้กับจิตดวงอื่น ที่ทำให้เราไปเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้อื่น จำไว้ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม ที่พูดถึงคำว่าเจ้ากรรมนายเวร เราต้องย้อนกลับมาพิจารณาจิตของเราว่า แล้วไอ้ตัวเราเองนั่นแหละตัวดี เราไปพยาบาท ไปจองเวร ไปอาฆาตแค้น ไปเป็นเจ้ากรรมนายเวรของใครหรือไม่ พิจารณาตัดละ วาง อโหสิกรรม ขมากรรม ให้อภัยทาน อันเป็นทานสูงสุด  จากจิตจากใจอารมณ์จิตพิจารณาเห็นว่า  บุคคลที่ไปจองเวรจองกรรมกับผู้อื่นนั้น  กระทำไปด้วยอวิชาความไม่รู้ ความเขลา              อันเนื่องจากฤทธิ์ของโทสะ ฤทธิ์ของโมหะ  ควบรวมกัน  มาร่วมใจ  ให้ตามอาฆาตแค้นจองเวรไม่มีสิ้นสุด 

เมื่อเราถอยจิตออกมาพิจารณา เราก็จะเห็นได้ว่า ไอ้การไปกระทำ คิดว่าเราจะจองเวร คิดว่าเราจะอาฆาตคิดถึงแต่การแก้แค้นหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์โทสะ อารมณ์จิตเช่นนี้เป็นความเขลาอย่างยิ่ง เราพิจารณาว่า เราเอาเวลาที่เราจะไปกลัวเจ้ากรรมนายเวร นำเวลานั้นมาขมากรรม อโหสิกรรม ให้อภัยทาน อโหสิกรรมต่อกัน อภัยทานให้กับทุกรูปทุกนาม เมื่อจิตเราสูงอยู่ในระดับที่ให้อภัยทาน ให้มหาอภัย อภัยต่อทุกดวงจิต  ทุกชาติทุกภพ จิตของเราบริสุทธิ์ถึงขั้นนั้น กำลังของเจ้ากรรมนายเวร ในการที่เราจะขอขมากรรม แรงอาฆาตของเขาก็พลอยเบาบาง จำไว้เสมอ  พิจารณาไว้เสมอ เวลาที่เราโกรธอาฆาตแค้น เวลาโกรธกัน ด่ากันชังกัน   ต่างฝ่ายก็ตามกระทำตอบต่อกัน   เขาตีมา    ตีมาที่เราหนึ่งครั้ง เราก็ตีกลับให้มันแรงขึ้น    ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตาม   ที่อีกฝ่ายหยุดตี     หยุดอาฆาตแค้น   หยุดจองเวร  เขาตีมาครั้งนึง  เราให้อภัย เราอโหสิกรรม เราให้อภัยทาน เขาจะตีอีก มันก็เก้อ มันเก้อ มันจางไป ดังนั้นการอโหสิกรรมมันก็ง่ายกว่าเดิม

กำหนดรู้ดังนี้ไว้  เพื่อท้ายที่สุดหากกลัวเจ้ากรรมนายเวร ก็จงหมั่นให้อภัยทาน หมั่นอโหสิกรรม หมั่นกำหนดจิตว่าเราไม่ใช่คน ไม่ใช่จิตประเภทเดียวกับเขา ที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกับดวงจิตอื่น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของใคร  เมื่อนั้นก็ถือว่าเราเป็นบุคคลที่เป็นผู้ปราศจากเวรภัย   เมื่อเป็นบุคคลที่ปราศจากเวรภัย ไม่ว่าใครก็ตามที่กระทำ ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำร้าย กลับมีผลเกิดผลที่เรียกว่ามหาสะท้อนย้อนกลับไปยังบุคคลนั่นเองโดยอัตโนมัติ โดยที่แม้เราก็ไม่ต้องกำหนด ไม่ต้องคิด ไม่ต้องแค้น เพียงตั้งจิตไว้ว่าเราเป็นผู้ที่ปราศจากเวรภัยต่อผู้ใด อโหสิกรรม ขมากรรม ให้อภัยทาน จนจิตเรามีแต่ความเมตตาผ่องใสบริสุทธิ์ จนแรงอาฆาตทั้งหลาย มันจืดมันจาง ออกไปจากใจของเรา จนมันเหือดมันแห้งออกไปจากใจของเราจนหมด จนความเร้าร้อนจากความโกรธ จากความโมโห จากความอาฆาตพยาบาท ไฟแห่งความอาฆาตนั้น  ดับลงจากจิตจากใจของเราอย่างสิ้นเชิง

พิจารณาให้จิตของเราตอนนี้ ให้อภัยต่อทุกดวงจิต ดับความโกรธ ความอาฆาต ไฟแห่งโทสะ จงดับลงจากจิตใจของเรา จิตสงบเย็น ขอให้แรงแห่งเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย พลอยดับลงไปด้วย  จิตเข้าถึงความสงบเย็นขึ้น

พิจารณาต่อไป ตัดกามฉันทะทั้ง 5 คือความหลงในความสุขทางรูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ ซึ่งรวม หมายรวมทั้งความสุขทางเบญจกามคุณ 5 ในภาวะของการเป็นมนุษย์หรือการมีกายเนื้อ รวมไปถึงความสุขในเบญจกามคุณ 5        ในสภาวะความเป็นทิพย์ ที่เรียกว่าทิพยสมบัติ พิจารณาว่า  กามทั้งหลายเป็นเครื่องผูกรอยรัดดวงจิตของสรรพสัตว์ไว้ในสังสารวัฏ   ความสุขทั้งหลายนั้นไม่จีรังยั่งยืน  ความสุขทั้งหลายที่เป็นความสุข  อันประกอบไปด้วยอามิชคือจำเป็นต้องมีสิ่งนั้น มีสิ่งนี้ มาบำรุงบำเรอบนเปรอ เราถึงจะมีความสุข   หากไม่มีมันก็มีความทุกข์  หากขาดไปก็มีความทุกข์   หากถูกแย่งชิงจากความสุขนี้ไป พัดพรากจากความสุขเหล่านี้ไป  ก็มีแต่ความทุกข์   อันนี้คือความสุขจากกามฉันทะความสุขจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราพิจารณาแล้วจึงค่อยๆ รู้เท่าทัน  

พิจารณาให้เห็นแม้แต่เทวดา   ท่านก็ยังเสวยยังเกาะอยู่ในความสุขในเบญจากกามคุณ 5 แต่มีสภาวะความเป็นทิพย์ มีความละเอียด มีความปราณีต กว่าความเป็นมนุษย์ พิจารณาว่า  เหตุนี้เทวดาท่านจึงเหมือนกับมหาเศรษฐีมหาเศรษฐี เมื่อมีเงินมากก็ย่อมปรารถนา ที่จะมีเวลาใช้เงินมีความสุข มาบำรุงบำเรอความสุข อยากอยู่นานๆ อยากอายุยืน  เทวดาที่ท่านมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์  ความสุขทั้งหลาย ทิพยสมบัติทั้งหลาย ท่านก็จึงมักจะลงมาต่อบุญ ต่อบารมี ต่ออายุความเป็นเทวดา ความเป็นทิพย์ ให้มีความเนิ่นนานสืบต่อไป  บางท่านท่านไม่ปรารถนาลงมาเกิด ปรารถนาจะอยู่ไปยาวๆ อยู่ไปนานๆ ถ้าอยู่เป็นอมตะได้ยิ่งดี

ส่วนหลายๆ คนรวมทั้งพวกเราที่มาฝึก  มาปฏิบัติสมาธิด้วย   ลงมาเกิด   อันที่จริงฝึกกันมา       จนถึงการได้มโนยิทธิแล้ว ก็ควรจะต้องรู้ รู้ให้ได้ว่า ก่อนลงมาเกิดเราตั้งใจอธิษฐานอะไร อธิษฐานตั้งใจจะมาทำหน้าที่อะไร   เจอมามากมายนักต่อนัก ลงมาเกิดตั้งใจดิบดี ก่อนลงมาจะมาสร้างบารมี จะมาช่วยสร้างบารมี จะมาปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน  สุดท้ายก็เพลิดเพลินอยู่กับความสุขในความเป็นมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระโพธิสัตว์หลายพระองค์  หรือเอาเป็นว่าแค่พุทธภูมิตั้งใจลงมาเกิด จะสร้างบารมี จะมาสร้างความดี   ก็ปรากฏว่าเพลิดเพลินลืมหน้าที่ของตัวเองก็หลายคน  ไอ้ตรงนี้เราก็คิดพิจารณาดูว่า ตัวเรานี้  อันที่จริงมีหน้าที่อะไรบ้าง  ตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน  มีความตั้งมั่นแค่ไหน  มีความสม่ำเสมอในการปฏิบัติแค่ไหน จิตตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานมากแค่ไหน ก็กำหนดคิดพิจารณาดู รู้เป็นตัวรู้ของเราเอง

เมื่อพิจารณาได้แล้วว่า กามฉันทะเป็นเครื่องผูกจิตให้ติดอยู่กับภพของความเป็นมนุษย์ก็ดี ความมีกายเนื้อก็ดีก่อให้เกิดความสุขในทิพยสมบัติในชั้นของกามจรสวรรค์ เหตุนี้ความเป็นสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น จึงเรียกว่ากามะ-จรสวรรค์ ก็คือภพอันมีความสุข แต่ยังมีความเนื่องอยู่ด้วยกาม คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่มีความเป็นทิพย์

คราวนี้พิจารณาตัดไปแล้ว ต่อไปก็คือรูปราคะ รูปราคะนั้น สังโยชน์ข้อนี้ย่อมาจากรูปพรหม ราคาคือความยึดเกาะติด พึงพอใจ มีความสุขอยู่กับฌาน อยู่กับความสงบ อยากเข้าฌานอย่างดูดดื่ม ไม่อยากถอนจิตออกจากฌาน ออกจากความสงบ หากเข้าสู่ความเป็นพรหม ก็มีความสุขอยู่กับว่าการเสวยวิมุติจากการทรงฌานนั้น  อยู่บนพรหมโลกอาการนี้ก็ทำให้ติดอยู่ในภพของพรหม พิจารณาแล้วเมื่อหมดบุญจากความเป็นพรหมก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดตรงมายังโลกมนุษย์ ลงมายังนรก ลงมาเสวยวิบาก ด้วยเหตุนี้ความเป็นพรหมก็ยังไม่เที่ยง  ความเป็นพรหมนั้น   ถึงแม้ว่าจะมีอายุความเป็นทิพย์อยู่ยาวนาน ยาวนานมากกว่าเทวดาทั้ง 6 ชั้นเป็นอย่างยิ่ง ยาวนานจนกระทั่งพรหมบางองค์นั้นอยู่มา  พระพุทธเจ้าเสด็จตรัสไปแล้วเป็น 5 พระองค์ 10 พระองค์  ผ่านไปหลายภัทรกัปป์ ผ่านไปหลายมหากัปป์ บุญของความเป็นพรหมท่านก็ยังไม่หมด ด้วยเหตุนี้พรหมหลายท่าน  จึงเกิดความหลง ความยึดว่าตนนั้นเป็นอมตะ ด้วยความที่อยู่แม้ยาวนานมาก อายุยาวนานมาก อันนี้ก็เป็นข้อติด เป็นโมหะของพรหม แต่หากเล็งญาณพิจารณาให้ครอบรอบถ้วนถี่    ความเป็นพรหมนั้นก็มีวันหมดอายุ   ก็คือมีความไม่เที่ยง   ขึ้นชื่อว่ายาวนานเท่าไหร่         ก็ยังอยู่ภายใต้กฎพระตรัยรัตน คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันได้แก่จุติขึ้นมาเป็นพรหม ดำรงทรงความเป็นพรหม เสวยวิมุตความสุขอยู่ ก็คือดำรงอยู่ จนกระทั่งหมดบุญ ก็คือดับลง

ดังนั้นรวมความว่า   ความเป็นพรหมนั้นก็ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์  ยังไม่พ้นภัยจากวัฎสงสาร  เราก็พิจารณาว่าเพิกความเป็นพรหม   เราอาศัยกำลังแห่งฌาน  อาศัยกำลังแห่งพรหมวิหาร 4        เป็นกำลังตบะเดชะ   เป็นกำลังแห่งจิตตานุภาพในการปฏิบัติเพื่อประหัดประหารสรรพกิเลสทั้งปวง จนเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน พิจารณาตัดรูปราคะไป ก็มาพิจารณาต่อ

พิจารณาตัดสังโยชน์ข้อต่อไป คืออรูปราคะ  อรูปราคะ  ก็คือ  อรูปพรหม ความพึงพอใจในความเป็นอรูป    หรือความหลงว่าอรูปพรหม หลงว่าความว่างนั้นคือพระนิพพาน  จุดนี้เป็นกับดักของการปฏิบัติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางสุขวิปัสโก จะติดอยู่ในจุดนี้ค่อนข้างมาก อรูปพรหมนั้น ความว่าง สภาวะความว่าง สภาวะหยุดจากการปรุงแต่งต่างๆ แต่ยังไม่ตัดสังโยชน์ คือยังขาดการตัดภพ การตัดสังโยชน์ 10 ยังไม่เกิด   การเจริญพิจารณาญาณ วิปัสสนาญาณยังไม่ได้พิจารณาตัด กำลังในการตัดยังไม่เกิด ดังนั้นการเข้าสู่ความว่าง การเจริญอรูปก็ยังเป็นอารมณ์ที่เหมือนกับการใช้หินทับหญ้า คล้ายกับการใช้ฌาน กดข่มกิเลสนั้นไว้  เมื่อเราคิด   พิจารณาแล้ว  อรูปพรหมก็ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์  ประโยชน์ของอรูป กำลังแห่งอรูปฌานนั้น มีผลมีอานิสงส์สูง  ประโยชน์อนันต์   โทษมหันต์    โทษนั้นถ้าเราเข้าใจเสียแล้วว่า อรูปนั้นไม่ใช่พระนิพพาน ไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์ ก็ถือว่านับว่าเราก้าวข้ามผ่านพ้นไปได้   จะติดอรูปเนื่องจากโมหะที่เกาะเกี่ยวอยู่นิดเดียวเท่านั้น คือสำคัญผิดว่าอรูปคือพระนิพพาน หรือสำคัญผิดว่าอรูปนี้คือที่สุดแล้ว    หากเข้าใจไว้เช่นนี้ก็คือติดอรูป  แต่ถ้าเราเข้าใจอยู่แล้วว่าสภาวะความว่าง โล่งว่าง ว่างเปล่า ขาว โล่ง จิตปราศจากความเกาะ ความยึด จิตปล่อยวาง ละว่างสัญญาความจำ จิตปล่อยวาง ว่างในสิ่งที่มากระทบทางอายตนะทั้งปวง เราเข้าใจแล้วว่าเป็นอรูป ยังไม่ใช่พระนิพพาน ก็แปลว่าเราก้าวข้ามไม่ติดแน่อรูป และเรายังสามารถใช้กำลังของอรูปเป็นกำลังเจริญวิปัสสนาญาณ กำลังตบะในการเสริมสร้างจิตตานุภาพ ในการพิจารณาตัดกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลอานิสงส์ของการตัดกิเลส โดยมีฐานกำลังจากการได้อรูปสมาบัติ ผลลัพธ์ก็คือเมื่อไหร่ที่บรรลุธรรม เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า อานิสงค์ก็จะเกิดองค์แห่งปฏิสัมภิทาญาณขึ้น

องค์แห่งปฏิสัมภิทาญาณนั้นก็คือ การรู้ภาษาทุกภาษา การแสดงธรรมจากยากให้ง่าย  แสดงธรรมจากง่ายให้ลึกซึ้ง แตกฉาน ละเอียด พิสดาร ปราณีต ลึกซึ้ง  การทรงพระไตรปิฎกได้ทั้งหมด   และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การที่เราได้ปฏิสัมภิทาญาณนั้น  กำลังของอภิญญาสมาบัติก็ครอบคลุม รวมไปถึงทางอภิญญาใหญ่ ทั้งทิพยจักษุญาณ  ครอบคลุมทางวิชา 3  อภิญญา 6 ทั้งหมด   การแสดงฤทธิ์ทั้งหมดครอบคลุมไปด้วย รวมถึงมีปฏิภาณไหวพริบ      เฉลียวฉลาดในธรรมอย่างยิ่ง  และถึงแม้ว่า  หากยังไม่เข้าถึงซึ่งความเป็นพระอริยเจ้า คุณสมบัติของปฏิสัมภิทาญาณก็ยังสามารถปรากฏขึ้นลงอยู่บ้าง ตามกำลังใจของเรา หากทรงอารมณ์ฌาน ความผ่องใส เจริญวิปัสสนาญาณสม่ำเสมอ เจริญอรูปสมาบัติสม่ำเสมอ องค์ของปฏิสัมภิทาญาณก็จะปรากฏ   บางครั้งบางคราวจิตก็สามารถสัมผัสได้ว่า สัตว์มันกำลังสื่อสารว่าอะไร บางครั้งธรรมะก็ผุดรู้ละเอียดลึกซึ้งขึ้นมาในจิตของเรา   สิ่งต่างๆ  เหล่านี้ก็คือกำลังของปฏิสัมภิทาญาณที่ปรากฏ

ดังนั้นประโยชน์มีมากมาย จนเราไม่อาจที่จะเพิกเฉยหรือไปกลัว พึงใช้ พึงรู้ พึงละ เรารู้แล้วว่าอรูปยังไม่ใช่ที่สุด เราน้อมถึงพระนิพพาน เมืองแก้วไว้อย่างเดียว  เมื่อกำหนดรู้ ละว่าง  จิตตัดทั้งรูปปราคะ  และอรูปราคะ               คือความเกาะ ความยึด จุดที่ทำให้เราไปผูก  ไปจุติเป็นพรหมและอรูปพรหม   

คราวนี้จิตเราก็กำหนดพิจารณาตัดวาง ความฟุ้งซ่านทั้งหลาย ความฟุ้งซ่านทั้งหลายในสังโยชน์ 10 นี้  แตกต่าง  เพิ่มเติมมาจากนิวรณ์ 5 คือไอ้ความฟุ้งซ่านต่างๆ ความสับสนต่างๆ  ก็คือตัวอารมณ์จิตที่มันคลอนแคลน  อยู่กับอารมณ์ที่เราตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน ความคลอนแคลนไม่มีในจิต ความหวั่นไหว ความฟุ้งซ่านว่าทำได้ ทำไม่ได้ เจอพระจริง เจอพระไม่จริงเรา จะได้รึเปล่า ไอ้อารมณ์พวกนี้ไม่มีในจิตเรา  จิตมันมีความตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวเป็นหนึ่ง เดียวกับพระนิพพาน ตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน เป็นหนึ่งเดียวแนบอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด อารมณ์จิตนี้จึงมีความสำคัญ คือเอกัคตารมณ์อยู่กับพระนิพพาน จิตเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพาน  พอพิจารณาตรงนี้จบแล้ว

สังโยชน์ต่อไปก็คือ ความมานะ ถือตัว ถือตน ความมานะนี้ ถือตัว ถือตน ถือตัวว่าดี  และก็น้อยใจว่าเราไม่ดี  น้อยใจว่าเราไม่มีบารมีจะเข้าถึงพระนิพพานได้  อันนี้ก็ถือว่าเป็นมานะ มานะในสังโยชน์ 10  ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่เราถือตัว  ถือตน  ถือดีกว่าผู้อื่น  อารมณ์จริงๆ   ในสังโยชน์      มานะ   คือตัวที่เราดันไปพิจารณาว่า   เราไม่ดีพอที่จะไปพระนิพพานได้  ตัวติดจริงมันอยู่ที่จุดนี้  เมื่อพิจารณาแล้วเชื่อมั่นว่าบุญที่เราทำ กรรมฐานที่เราฝึก  ความสม่ำเสมอ     การยกจิตขึ้นพระนิพพานเราทำทุกวัน  ทุกโอกาส  เราคู่ควรอยู่กับพระนิพพาน ตัดมานะทิ้ง  และสุดท้ายอวิชา   คือความไม่รู้ จิตมันก็กระจ่างอยู่แล้วว่า  พระนิพพานนี้คือที่สุด คือที่สุด คือกิจสุดท้ายที่เราจะปฏิบัติ ตราบที่ยังอยู่ในสังสารวัฏ เราก็มีแต่ภาระของใจ มีวาระของกรรม  ที่จะต้องทำที่จะต้องชดใช้  มีวาระที่เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องไปทำ  เรื่องนั้น ทำเรื่องนี้  มีหน้าที่ที่ไม่มีวันสิ้นสุด การใช้กรรมนี่พูดตามตรงว่าไม่มีวันหมด  จะแก้กรรมอย่างไร  จะตามใช้กรรมอย่างไร มันสะสมมามากมายมหาศาล พอกเป็นดินหางหมู  กรรมบางชนิด มันเกิดซ้ำ เกิดซาก ย้อนแล้วย้อนอีก   ถ้าบอกว่าเราจะเกิดมาใช้กรรมให้หมด เนี่ยมันไม่มีทาง มันมีแต่ทางเดียวคือตั้งให้พ้นจากกรรมทั้งปวง คือเข้าถึงพระนิพพาน เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน เพื่อปิดอบายภูมิทั้งปวง เจริญวิปัสสนาญาณ    ตัดสังโยชน์ 10 เพื่อตัดภพของความเป็นมนุษย์ทั้งปวง ตัดภพของความเป็นเทวดา  ตัดสังโยชน์ข้อที่ 6  ตัดภพของความเป็นพรหม ตัดภพของความเป็นอรูปพรหม  รวมความว่าตัดภพทั้งหมดจนจบกิจ  จิตตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานเพียงจุดเดียว

เมื่อพิจารณาแล้ว จิตของเราก็เกิดความผ่องใส จิตเราที่น้อมอยู่ภายในดวงแก้ว ดวงจิตขององค์พระพระพุทธเจ้าท่านอยู่ที่ใด ท่านอยู่บนพระนิพพาน ในเมื่อท่านอยู่บนพระนิพพาน จิตเราอยู่ในดวงจิต ในดวงแก้วภายในองค์พระท่าน เราก็อยู่บนพระนิพพานด้วย  ให้เราค่อยๆ น้อมจิตลอยกายทิพย์ของเรามาจากดวงแก้ว  มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพาน อธิษฐานจิตทุกครั้งที่เราขึ้นมาบนพระนิพพาน ขอปรากฎให้เราอยู่ท่ามกลางมหาสมาคม คำว่ามหาสมาคมนั่นก็คือ มีพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน อยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ปรากฏอยู่  กำหนดจิตเราอยู่ท่ามกลางมหาสมาคมบนพระนิพพานเสมอ กระแสจิต กระแสเมตตา กระแสพุทธานุภาพ  ธรรมานุภาพ   สังฆานุภาพ และกระแสของพระนิพพานทั้งหมด  ล้วนเชื่อมกระแสกับดวงจิตอาทิตสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพของเรา   กำหนดจิตจนกายพระวิสุทธิเทพของเรา  สว่างผ่องใสอย่างยิ่ง 

จากนั้นพิจารณาทบทวน ทรงอารมณ์  อารมณ์แห่งพระนิพพาน กิจทั้งหลายจบแล้ว ภพทั้งหลายสิ้นแล้ว ไม่มีแรงดึงดูด สายโยงใยใด  จะผูกล่ามเราไว้กับภพภูมิ  กับบุคคล  กับสถานที่  จิตของเราเป็นอิสระจากสังโยชน์ทั้ง 10     จากความโลภ โกรธ หลงทั้งปวง  จิตเราพ้นจากความวุ่นวายของสังสารวัฏ พ้นจากแรงกรรมทั้งหลาย จิตวิมุตหลุดพ้นเป็นอิสระผ่องใส นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง อารมณ์จิตพิจารณาให้เข้าถึงสภาวะโดยรายละเอียด สว่าง สะอาด สงบ ร่มเย็น

กำหนดใจของเราสว่างผ่องใส ทรงสภาวะความเป็นกายพระวิสุทธิเทพชัดเจน กำหนดว่าตายเมื่อไร   เราขอขึ้นมาอยู่บนพระนิพพานกับพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์   ความเคารพนอบน้อม ความรักในพระพุทธเจ้า    ความรักในหลวงพ่อ  ความรักในครูบาอาจารย์ พระอรหันต์ทั้งหลาย น้อมกระแสให้ความเมตตาของทุกท่านทุกพระองค์  ความรักความปรารถนาดี ปรารถนาให้เราหลุดพ้น เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน  จากดวงจิตดวงใจของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย  ขอน้อมหลั่งไหลลงสู่ใจของเรา จนจิตของเราเกิดมหาปีติ เกิดความซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธ  พระธรรม พระสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง เฉกเช่นกับพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ท่านเข้าถึงกระแสธรรมนี้แล้ว เฉกเช่นพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านเข้าถึงความซาบซึ้ง  ในพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระเมตตาธิคุณของพระพุทธเจ้า จิตของเราละเอียด จิตเราซาบซึ้งถึงคุณแห่งพระนิพพาน ความรู้สึกที่พ้นจากวังวนและคุกที่กักขังจิตของเราไว้ในสังสารวัฏ  จิตเป็นอิสระ  สว่างอย่างยิ่ง กายพระวิสุทธิเทพสว่างผ่องใสอย่างยิ่ง  อารมณ์พระกรรมฐานของเรา  เข้าถึงสภาวะอารมณ์พระนิพพาน ละเอียด ลึกซึ้ง ปราณีต

ตั้งกำลังใจ ขอบารมีพระ ขอบารมีครูบาอาจารย์สงเคราะห์  อารมณ์จิตแห่งอรหัตผล  อารมณ์จิตที่หลุดพ้นจากสรรพกิเลส ขอข้าพเจ้าทั้งหลายจงเข้าถึงสภาวะแห่งอารมณ์อันเป็นวิมุตหมดจดนี้  และขอให้ข้าพเจ้าทรงอารมณ์นี้ได้จดจำอารมณ์แห่งวิมุตนี้ได้เป็นปกติ ลืมตา หลับตา ยืน เดิน นั่ง นอน   หากเมื่อไหร่ก็ตาม ตราบที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่บนโลก เกิดความเผลอไผล เกิดการลืมเลือน  เกิดความเพลิดเพลินในโลกจนเกินไป  ก็ขอให้ข้าพเจ้ายังเข้ามาอยู่ในกระแสแห่งโลกุตระธรรม ไม่หลุด ไม่หลงออกไปจากกระแสมรรคผลพระนิพพานนี้  ขอกระแสแห่งพระนิพพาน              จงจดจำจิตของข้าพเจ้านี้ไว้  ขอบารมีแห่งพระพุทธองค์ ครูบาอาจารย์  หลวงพ่อเมตตา  เมื่อไหร่ก็ตามข้าพเจ้าหมดอายุขัยจากความเป็นมนุษย์  ก็ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์  มาโปรดให้ข้าพเจ้า มารับให้ข้าพเจ้า   เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในยามที่ละจากขันธ์ 5 นี้ด้วยเทอญ

จากนั้นทรงอารมณ์และบริกรรม  นิพพานัง ปะระมัง สุขัง  พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง  ทรงอารมณ์ให้ผ่องใสที่สุด  จำไว้เสมอว่าทรงอารมณ์พระกรรมฐานให้เต็มกำลังก็คือ     ภาพนิมิต ความรู้สึกในสภาวะว่ากายเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพสว่าง ผ่องใส ความรู้สึกว่ากระแสแสงสว่างและความสุขแผ่กระจายออกมาจากกายพระวิสุทธิ    คือกายทิพย์ของเรา   จำไว้ว่าการฝึกมโนมยิทธินั้น  อันที่จริงก็คือการฝึกการใช้กายทิพย์  ในเมื่อการฝึกใช้กายทิพย์มันปรากฏ   เราก็สามารถใช้พลังแห่งกายทิพย์ได้ จะใช้พลังแห่งกายทิพย์ในการรักษาพยาบาล ใช้พลังแห่งกายทิพย์ในการใช้กำลังอภิญญาสมาบัติ  พลังของกายทิพย์ยิ่งยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานเท่าไร  จิตยิ่งมีความบริสุทธิ์  พลังงานที่มีความบริสุทธิ์   ก็ย่อมมีพลังมากกว่าพลังงานที่หยาบกว่า เหตุว่ามีความละเอียดกว่า  กายพระวิสุเทพถึงสามารถที่จะไปได้ทุกภพ  ตามกฏของโลกทิพย์   ก็คือจริงๆ ก็คือเป็นธรรมชาติของโลกทิพย์  ภพที่อยู่ในภาวะที่มันมีความหยาบกว่าจะไม่สามารถไปถึงหรือมองเห็น ภพที่มีความละเอียดหรือบริสุทธิ์หรือสูงกว่า   เช่นความเป็นมนุษย์ตามธรรมชาติปกติ         ถ้าหากไม่อาศัยการฝึกฌานสมาบัติจนเกิดอภิญญา ก็จะไม่สามารถที่จะเห็นเทวดา ได้ยินโสตทิพย์หรือยกจิตขึ้นมาบนสวรรค์หรือบนพรหมได้  ในขณะเดียวกันเทวดาก็ไม่สามารถที่จะเห็นพรหม

ดังนั้นยิ่งจิตมีความบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ พลังงานกายทิพย์ก็มีความละเอียดเพียงนั้น   ยิ่งเรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานทรงอารมณ์มากเท่าไหร่ ตบะเดชะกำลังฌานสมาบัติ ก็ยิ่งสะสมบ่มตัวมากขึ้นเพียงนั้น   พลังของกายทิพย์ก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเพียงนั้นตามไปด้วย  อันนี้ก็คือประโยชน์อีกจุดนึง  อีกข้อหนึ่งของการที่เราปฏิบัติธรรม   ซึ่งจริงๆหากรู้จักนำมาใช้ได้ ให้เป็นประโยชน์ได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี   แต่ให้อยู่ในขอบเขตของความดี ของกุศล  อยู่ในขอบเขตของการที่เราใช้เพื่อสงเคราะห์ ไม่เป็นไปเพื่อการเบียดเบียน ใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อปฏิปทาสาธารณะ ทำนุบำรุงชาติ ศาสนา   พระมหากษัตริย์   กำลังของฌานสมาบัติจึงเกิดผลอานิสงส์      ทรงอารมณ์ให้ภาพนิมิตความรู้สึกในความเป็นกายทิพย์   กายพระวิสุทธิเทพ สว่าง ใส รายละเอียด ชัดเจน อารมณ์จิตเข้าถึงสภาวะความสุข   เข้าถึงสภาวะที่จิตเป็น หนึ่ง จิตแนบ มั่นคงอยู่กับพระนิพพาน   ทรงอารมณ์นี้ไว้จนรู้สึกได้ว่ากายพระวิสุทธิเทพของเรา   เปลี่ยนพลังเปี่ยมไปด้วยความมั่นคง เปี่ยมไปด้วยแสงสว่าง เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ของจิต  จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง 

การประยุกต์   หากเราจะสวดคาถาเงินล้านบนพระนิพพานก็ดี   เจริญบทสวดพระจักรพรรดิ์อยู่บนพระนิพพานก็ดี  ยิ่งเกิดพลัง  ยิ่งเกิดพลานิสงค์ เพราะกระแสของเราเชื่อมอยู่กับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นที่เรียบร้อยเชื่อมกับกระแสของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเป็นที่เรียบร้อย  พลังบุญ พลังกุศล ก็เพิ่มพูนล้นทวีขึ้น

ทรงฐานอารมณ์ ในการยกจิตยกอาทิสมานกาย  ขึ้นมาบนพระนิพพานให้มั่นคงไว้เป็นปกติ  น้อมจิตของเราเมื่อจิตของเราทรงอารมณ์ ทรงงกำลังดีแล้ว ก็ให้เราน้อมขอบารมีพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ขอตัวรู้ญาณทัศนะจงปรากฏ มองลงมาจากพระนิพพานลงมาสู่โลก เราก็จะเห็นความวุ่นวาย ความทุกข์ ภัยพิบัติกำลังก็สะสมเพิ่มพูนขึ้น    เมื่อตอน 2 ทุ่มก็ปรากฏภูเขาไฟระเบิดที่ประเทศญี่ปุ่นครั้งรุนแรง  ภัยพิบัติโรคภัยไข้เจ็บก็ก่อเกิดขึ้น    ไม่ว่าจะเป็นเจตนาของมนุษย์ หรือจะเกิดตามธรรมชาติก็ดี เรากำหนดจิตในอุเบกขา  มีเพียงเมตตา  น้อมกระแสจากพระนิพพานกระแสแห่งเมตตา พระพุทธเมตตา  ลงมาสู่โลก น้อมกระแสบุญทั้งหลาย  กระแสกุศลทั้งหลาย  กระแสที่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายสร้างคุณความดีไว้ เราน้อมถักทอกระแสแห่งบุญ เชื่อมกระแสทั้งหมด รวมที่พระนิพพาน เชื่อมโยงกับพระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ พระบรมโพธิสัตวทั้งหลาย เทพพรหมทั้งหลาย ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิทุกพระองค์  เชื่อมกระแสบุญจงปรากฏกำลังเป็นหนึ่งเดียว รวมบนพระนิพพาน แผ่ลงมาบนโลกมนุษย์ เกิดตาข่ายเส้นสาย สายโยงใยแห่งบุญกุศล ถักทอผ้าทิพย์แห่งบุญกุศล ครอบคลุมคุ้มครองโลกนี้ทั้งหมด น้อมกระแส ถักทอเส้นสายบุญของแต่ละดวงจิตเป็นประดุจเส้นด้ายทิพย์อันวิเศษ  อันเป็นมงคล ร้อยประสานถักทอเป็นผ้าทิพย์ ครอบคลุมคุ้มครองโลกทั้งหมด        น้อมกระแสกำลังพุทธคุณ ลงมาประสิทธิประสาทให้กำลังแห่งบุญนี้ ประคับประคองรักษาโลกนี้    ให้ผ่านเข้าสู่ยุคชาววิไลได้สำเร็จ น้อมกระแสให้สว่าง ผ่องใสอย่างยิ่ง  ขอกระแสบุญที่แผ่ลงมาร่วมบุญ   ที่เชื่อมกระแสจากพระพุทธเจ้า   พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เชื่อมกระแสเป็นหนึ่ง ผ่านอาทิสมานกายของเรา  แผ่ลงไปยังอรูปพรหมทั้ง 4 ชั้น แผ่ลึกลงไปยังพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น แผ่ไปอย่างสวรรค์ทั้ง 6 แผ่ลงไปยังภพของรุกขเทวดาทั่วโลก  ทั่วจักรวาล แผ่ลงไปยังภุมมเทวดาทุกพระองค์ ทั่วโลกทั่วจักรวาล  แผ่เมตตาสว่าง  สุดขอบอนันตจักรวาลไปยังดวงจิตของมนุษย์และสัตว์ที่มีกายเนื้อกายหยาบ  แผ่เมตตาสว่าง

จากนั้นแผ่เมตตาต่อไปยัง  ภพของโอปปาติกาสัมภเวสีที่หลงอยู่ในโลก หลงอยู่ในจักรวาล  หลงอยู่ในภพ หลงอยู่ในมิติ แผ่เมตตา สว่าง แผ่เมตตาต่อไปอย่างภพเปรตอสูรกายทั้งหลาย  กำหนดน้อมกระแสบุญกุศล  ความสว่าง ทิพยสมบัติ แสงสว่าง กระแสกุศล กระแสบุญ กองบุญ ภูเขาบุญ แผ่ไปยังดวงจิต ดวงวิญญาณทั้งหลาย ปรับภพภูมิดวงจิต ดวงวิญญาณที่อยู่ในวิสัยที่เสวยผลบุญ อยู่ในวิสัยแห่งการปรับภพภูมิได้ ขอบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน   จงระเบิดสว่าง เปลี่ยนกายหยาบ กายที่มีความทุกข์ให้กลายเป็นกายทิพย์ กายเทพ  กายแห่งแสง  น้อมกระแสบุญระเบิด  สว่าง  จิตอันเป็นมิจฉาทิฐิ จงเข้าถึงความเป็นสัมมาทิฐิ ระเบิดอกุศล  จงสว่างเป็นแสงแห่งกุศล  เป็นแสงแห่งบุญปรากฏ         แผ่ลึกลงไปยังนรกภูมิทุกขุม ขอให้พระยายมราชและนายนิรยบาลทั้งหลาย  ได้เมตตาเป็นผู้ เป็นตัวแทน รับบุญแทนสรรพสัตว์ สัตว์นรกทั้งหลาย ไว้คอยเมื่อหมดพ้นจากภัย จากโทษทุกข์  บุญทั้งหลายสำเร็จ  เมตตาอัปปมานฌานรวมบุญจากพระนิพพาน รวมลงสู่ทั่ว 3 ภพภูมิ  ทั่วทั้งสังสารวัฏ  จิตเราแผ่เมตตา  สว่าง  บุญปรากฏ  กุศลปรากฏ

กำหนดน้อมแสงสว่างนี้ จงเป็นพละปัจจัย กายทิพย์ข้าพเจ้าจงมีกำลังนำพาจิตดวงนี้  ข้ามพ้นฝั่งแห่งโอฑะสังสารวัฏ  สู่แดนพระนิพพานอย่างง่ายดายในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ น้อมใจของเราให้สว่าง  ผ่องใส  กำหนดอธิษฐานขอแสงสว่างแห่งบุญ จงเปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ กระแสแห่งพระนิพพานจงส่งลงมายังร่างกายธาตุขันธ์    ฟอกธาตุขันธ์ให้เป็นแก้ว เป็นเพชร เซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่าง อวัยวะทั่วร่าง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก จงใสเป็นแก้วประกายพรึก ธาตุทั้งหลายทั่วร่างกายจงสลายโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง  กาย จิต  สะอาดผ่องใส  ฟอกกาย  ฟอกจิต          ฟอกธาตุขันธ์ ฟอกธาตุธรรม ฟอกกายทิพย์ วาจาจงเกิดความศักดิ์สิทธิ์ คาถาบทสวดอันบริกรรม  จงปรากฏความศักดิ์สิทธิ์  ความขลังความอัศจรรย์   ทุกบทสวดที่ออกเสียงจงปรากฏอักขระมนต์อันวิเศษ   มีพุทธคุณเป็นที่สุด             ทุกบทสวดจงมีอักขระมงคล ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ 

จากนั้นให้เราทรงอารมณ์ผ่องใสที่สุด และจิตจิตอธิษฐานหลังกรรมฐาน เพื่อยังประโยชน์สุขให้ปรากฏ   ในฐานะที่เรายังมีร่างกายธาตุขันธ์ ยังต้องบำรุงดูแล ตามน้อมตามพรที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเมตตาสงเคราะห์  รวยชาตินี้นิพพานชาตินี้  ใครตั้งจิตอธิษฐานสิ่งใด ก็จงสำเร็จอัศจรรย์  เพราะใจของเราที่ปฏิบัติเราทรงกำลังสูงสุด กรรมฐานสูงสุดทุกสิ่งที่อธิษฐานสำเร็จสัมฤทธิ์อัศจรรย์ 

จากนั้นนะ อธิษฐานเรียบร้อยแล้ว ก็ขอให้เปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ สายอภิญญา จงหลั่งไหลลงมา  ธรรมทั้งหลายจงรู้แจ้งแทงตลอด มีความเข้าใจลึกซึ้ง ครูบาจารย์ผู้เป็นกายทิพย์ ขอจงเมตตามาประสิทธิ์ประสาท พรหมทั้งหลายจงมาประสิทธิ์ประสาทสรรพปัญญาทั้งปวง ญาณเครื่องรู้ทั้งหลาย จงปรากฏความถูกต้องชัดเจน

จากนั้นกำหนดอธิษฐานให้เกิดดอกบัวแก้วแห่งบุญ แยกอาทิสมานกายถวายทุกท่านบนพระนิพพาน กายทิพย์มากมายมหาศาล แยกรูป แบ่งภาค  น้อมถวายทุกท่านทุกพระองค์  จากนั้นรวมกายทั้งหมดกลับคืนมาเป็นหนึ่ง       กราบลาทุกท่าน ขอบุญบารมีจงปรากฏ ขอเทวดาพรหมที่ปกปักษ์รักษาในขณะที่เจริญพระกรรมฐาน  ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายที่โมทนา ขอจงได้รับบุญ  กัลยาณมิตรทั้งหลายที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน  เราขออนุโมทนาซึ่งกันและกันทั้งหมด     ผู้ที่มาฝึกภายหลังก็ขอโมทนาบุญด้วย ผู้ที่ได้มรรคผลปรากฏก็ขอโมทนาบุญด้วย

จากนั้นจึงน้อมใจของเรา พุ่งจิตกลับมาที่กายเนื้อ กายเนื้อปรากฏ น้อมความรู้สึกของกายทิพย์ที่อยู่ในกายเนื้อแผ่แสงสว่าง รัศมีสว่างออกมา  มีคลื่นมีพลังงาน มีกระแสบุญ สว่าง เส้นแสงรัศมีกายสว่างเต็มกำลัง    กำหนดจิตในความเป็นทิพย์ รู้เห็นในดวงจิตทั้งหลายที่โมทนาบุญ แผ่เมตตาให้กับท่านที่มารอมารับ สว่างผ่องใส  บุญกุศลก่อเกิด

จากนั้นจึงหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ กำหนดจิต

เข้า “พุท”   ออก  “โธ”  กำลังแห่งพุทธคุณผนึกใน กาย วาจา ใจ ของข้าพเจ้า

หายใจเข้าลึกๆ ครั้งที่ 2

“ธัมโม” กระแสธรรมหลั่งไหล รินรดดวงจิตของข้าพเจ้า

หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ครั้งที่ 3

“สังโฆ” กำลังของสังฆคุณ   บารมีของพระอริยเจ้า   พระสุปฏิปันโน   พระโพธิสัตว์       คุ้มครองรักษาเกิดมหาโภคทรัพย์   เกิดความรุ่งเรืองต่อข้าพเจ้า

สำหรับวันนี้    ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน  ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้เราช่วยกันเขียนแผ่นทอง   อธิษฐานพระนิพพานนะครับ ใครที่หมดแล้วก็แจ้งขอได้   

แล้วก็ขออนุญาตประชาสัมพันธ์เรื่องของคลอส Ultimate Healer สำหรับคนที่สนใจศึกษา  จะนำเอาการปฏิบัติในเรื่องของจิต ปราณ และศาสตร์ต่างๆ ในการเยียวยารักษาตัวเอง ก็ยังมีที่ว่างสามารถสมัครได้อยู่ นะครับ   รายละเอียดเดี๋ยวแปะไว้ให้  ก็ขอให้เราทุกคนตั้งใจดีๆ   สำหรับวันนี้เป็นฤกษ์พิเศษ    เป็นฤกษ์ที่สามารถใช้ปัดเป่าอุปสรรคในชีวิต   ก็ขอให้เราที่เจริญกรรมฐานกันในวันนี้     มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองขึ้น คล่องตัวขึ้น   ทุกๆ ด้าน       รวมทั้งอย่างยิ่งมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งเเรง จำไว้เสมอว่าเมื่อไหร่ที่เราไปในที่ ที่รู้สึกว่ามีเชื้อโรคมาก   มีชุมชนหนาแน่นหรือรู้สึกไม่ค่อยสบาย  ให้กำหนดจิต  น้อมใจเป็นสมาธิ แผ่รัศมีกาย แผ่แสงสว่าง เป็นก้อนเป็นกลุ่มของพลังงานที่ครอบคลุม คุ้มครองตัวเรา แล้วก็หมั่นที่จะฟอกธาตุขันธ์ไว้ นะครับ  พยายามกันจนไม่ติด  เพราะหลายคนที่ติด        มีลูกศิษย์ที่ไปติดโควิดมา อาจารย์ก็ต้องมาแนะนำให้ฟังไฟล์เสียง Ultimate recovery บ้าง ให้ฝึกฟอกธาตุขันธ์บ้าง  ก็ทำไม่นานก็หายกัน  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ดีที่สุดคือไม่เป็น กำหนดสนามพลังงาน กำหนดกระแสแผ่ปกป้องคุ้มครองตัวเอง    กำลังฌาน กำลังสมาธิ ถึงเวลาเนี่ยเค้ามีพลังงาน  มีประจุไฟฟ้าที่สามารถสลายเชื้อโรค สลายไวรัส  ได้เช่นกัน  ขึ้นอยู่กับจิตทั้งหมด  สำหรับวันนี้ ก็ขอโมธนากับทุกคนนะครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณสิริญาณี แลบัว

You cannot copy content of this page